แนวทางการภูมิคุ้มกันบำบัด
ศูนย์สิริกิติ์บรมราชินีนาถ เพื่อโรคมะเร็งเต้านม ได้พัฒนาแนวทางการรักษามะเร็งเต้านม โดยการใช้ภูมิคุ้มกันบำบัด ซึ่งจะอาศัยกระบวนการสกัดเซลล์เดนไดรต์ตามธรรมชาติของผู้ป่วยฉีดกลับเข้าไปในต่อมน้ำเหลืองบริเวณลำคอ เพื่อกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายของผู้ป่วยให้สามารถจำแนกและกำจัดเซลล์มะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเรามีเครื่อง CliniMacs Prodigy (เครื่องมือที่ใช้ในกระบวนการผลิตเซลล์สำหรับการบำบัดด้วยเซลล์และยีน) และห้องปลอดเชื้อระดับมาตรฐานสากล Class 100 (GMP) เพื่อใช้ผลิตเซลล์ที่จะนำไปใช้กับผู้ป่วยในห้องผ่าตัด โดยคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นสำคัญ เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ได้มาตรฐานและมีประสิทธิภาพสูงสุด
แนวทางการรักษามะเร็งเต้านมด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด
ของศูนย์สิริกิติ์บรมราชินีนาถ เพื่อโรคมะเร็งเต้านม ได้รับการนำเสนอในการประชุมนานาชาติSt Gallen International Breast Cancer Conference ว่าด้วยโรคมะเร็งเต้านม เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2564
คุณเพลินพิศ โกแวร์ เป็นผู้ป่วยรายแรกที่ได้รับการรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด ทำให้ผลการรักษาที่มะเร็งเต้านมระยะสุดท้ายที่กำลังลุกลามได้หายไปอย่างสิ้นเชิงจากปอดและตับของเธอ ก่อนหน้านี้เธอป่วยด้วยมะเร็งเต้านมระยะสุดท้ายที่ลุกลามไปยังอวัยวะอื่น ๆ แม้จะได้รับการรักษาตามมาตรฐานทั่วไป แต่ผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามคาดหวัง จนกระทั่งมีการพิจารณาใช้แนวทางการรักษาแบบภูมิคุ้มกันบำบัด ในปัจจุบัน คุณเพลินพิศ โกแวร์ มีสุขภาพแข็งแรงและคุณภาพชีวิตที่ดีเยี่ยม ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าสำคัญในการพัฒนาแนวทางการรักษามะเร็งเต้านม
วิธีการรักษาแบบภูมิคุ้มกันบำบัดอาศัยกลไกการป้องกันตามธรรมชาติของร่างกายในการต่อสู้กับสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกาย เช่น แบคทีเรียและไวรัส เพื่อช่วยป้องกันการติดเชื้อในร่างกาย ซึ่งระบบภูมิคุ้มกันเป็นกลไกป้องกันตามธรรมชาติของร่างกายที่ช่วยรับมือกับการติดเชื้อและเซลล์ผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นในร่างกาย
ภูมิคุ้มกันบำบัด เป็นแนวทางการรักษาที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในการจัดการกับโรคและภาวะต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยเฉพาะในกลุ่มโรคมะเร็ง ดังนั้นศูนย์สิริกิติ์บรมราชินีนาถ เพื่อโรคมะเร็งเต้านม จึงได้พัฒนาแนวทางรักษาแบบภูมิคุ้มกันบำบัดรูปแบบใหม่ เพื่อใช้ในการรักษาโรคมะเร็งเต้านมที่แพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ๆ เช่น ตับ ปอด และกระดูก ซึ่งมีลักษณะและกลไกการแพร่กระจายที่แตกต่างจากมะเร็งปฐมภูมิที่เกิดขึ้นโดยตรงในอวัยวะเหล่านี้ จึงจำเป็นต้องใช้วิธีการรักษาที่เฉพาะเจาะจงและตรงเป้าหมายมากยิ่งขึ้น แม้การรักษาเนื้องอกในเต้านมจะประสบความสำเร็จในหลายกรณี แต่วิธีการใหม่นี้จะเน้นไปที่การควบคุมและกำจัดเซลล์มะเร็งที่กระจายตัวไปยังอวัยวะอื่น ๆ นอกจากนี้ ในอนาคตยังมีความคาดหวังว่า มะเร็งชนิดอื่น ๆ เช่น มะเร็งรังไข่ มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ อาจสามารถนำแนวทางภูมิคุ้มกันบำบัดนี้มาปรับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยอาศัยข้อมูลจากการศึกษาของเรา ซึ่งนำไปสู่การขยายขอบเขตการรักษาสำหรับผู้ป่วยมะเร็งเต้านมในระยะเริ่มต้น เพื่อเพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายขาดได้ในอนาคต
โดยทั่วไปแล้ว การใช้ภูมิคุ้มกันบำบัดในการรักษามักทำในระดับที่ไม่ซับซ้อนมากนัก ซึ่งสามารถพบเห็นได้ทั่วไปหลายแห่งทั่วโลก แต่ในทางกลับกันศูนย์สิริกิติ์บรมราชินีนาถ เพื่อโรคมะเร็งเต้านม จะทำการรักษาในเชิงลึกและมีความละเอียดขั้นสูงสุด โดยใช้กระบวนการที่เกี่ยวข้องกับเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งต้องอาศัยการเตรียมการและการดำเนินการที่ละเอียดถี่ถ้วนอย่างยิ่ง ทีมวิจัยของเราจะดำเนินการสกัดเซลล์เดนไดรต์ตามธรรมชาติซึ่งมีความเปราะบางสูง และนำไปเพาะเลี้ยงและกระตุ้นเซลล์ภายใต้สภาวะที่มีการควบคุมอย่างเข้มงวด กระบวนการนี้ต้องอาศัยความแม่นยำและความพิถีพิถันในระดับสูง ทั้งนี้วิธีการรักษาแบบภูมิคุ้มกันบำบัดรูปแบบใหม่นี้ต้องดำเนินการภายใต้การดูแลของทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขา และแตกต่างจากวิธีการรักษาทั่วไปโดยสิ้นเชิง เนื่องจากมีความซับซ้อน ต้องอาศัยความชำนาญและกระบวนการพิเศษแบบเฉพาะทาง เป็นที่กันทราบดีว่าการรักษามะเร็งเต้านมระยะลุกลามด้วยภูมิคุ้มกันบำบัดเป็นวิธีการที่มีความละเอียดสูงและอาจมีความเสี่ยง แต่วิธีการรักษารูปแบบใหม่ของเรานั้นได้รับการพัฒนาโดยคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ป่วยเป็นสำคัญ โดยไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์หรือเป็นอันตรายต่อผู้ป่วย และยังได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจในผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะลุกลาม (ระยะสุดท้าย) สองรายติดกัน โดยผู้ป่วยทั้งสองรายนี้ที่ได้รับการรักษาด้วยเซลล์เดนไดรต์ตามธรรมชาติซึ่งถูกกระตุ้นด้วยนีโอแอนติเจน (เปปไทด์จำเพาะ) และมีการตอบสนองทางพยาธิวิทยาอย่างสมบูรณ์ ซึ่งบ่งชี้ว่าเซลล์มะเร็งเต้านมทั้งหมดถูกทำลายจนหมดสิ้นในทั้งสองกรณี การกำจัดเซลล์มะเร็งอย่างสิ้นเชิงนี้มีหลักฐานสนับสนุนทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์อย่างครบถ้วน ผลลัพธ์เบื้องต้นที่ได้จากการรักษานี้เป็นที่น่าพอใจอย่างยิ่ง
*เปปไทด์ เป็นโปรตีนขนาดเล็กที่พบบนผิวของเซลล์ทุกชนิด และมีบทบาทสำคัญในกระบวนการทางชีวภาพหลายด้าน รวมถึงการสื่อสารระหว่างเซลล์ การกระตุ้นการทำงานของเซลล์ และความสามารถในการจดจำเซลล์อื่น ๆ ในร่างกาย
นอกจากนี้ ศูนย์สิริกิติ์บรมราชินีนาถ เพื่อโรคมะเร็งเต้านม ยังมีส่วนร่วมในการทดลองวิจัยระดับนานาชาติ รวมถึงการพัฒนาเทคนิคการฉายรังสีระหว่างการผ่าตัด ซึ่งได้ดำเนินการมากว่า 300 ราย ในห้องผ่าตัด วิธีการนี้ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถรับการฉายรังสีเพียงครั้งเดียว แทนที่จะต้องเข้ารับการรักษาหลายครั้งต่อเนื่องหลายสัปดาห์ โดยเราได้ร่วมมือกับสหราชอาณาจักรในการทดลองนี้มาเป็นเวลากว่า 10 ปี เพื่อพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพของการรักษาด้วยรังสีในผู้ป่วยมะเร็งเต้านม
อีกหนึ่งโครงการทดลองของศูนย์สิริกิติ์บรมราชินีนาถ เพื่อโรคมะเร็งเต้านม ที่ส่งผลโดยตรงต่อผู้ป่วย คือ หัตถการการรักษาแบบใหม่ที่ได้รับการออกแบบเฉพาะ เพื่อจัดการกับมะเร็งเต้านมระยะลุกลาม ที่มีลักษณะของรอยโรคที่กว้างและซับซ้อน โดยเราได้ออกแบบวิธีการรักษาเฉพาะทางอย่างละเอียด ครอบคลุมตั้งแต่การทำลายเนื้องอก การเย็บปิดผนังทรวงอก ไปจนถึงการรักษาสภาพเนื้อเยื่อโอเมนตัม (เยื่อไขมันในช่องท้อง) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของช่องท้อง (Abdomen) ให้คงสภาพได้ดีในตำแหน่งใหม่เพื่อปิดแผลขนาดใหญ่ที่บริเวณทรวงอก ซึ่งได้ผลดีอย่างมากในการเย็บปิดแผล อีกทั้ง มีการปลูกถ่ายผิวหนังชั้นสุดท้ายบนโอเมนตัม ซึ่งได้รับการตกแต่งให้มีลักษณะใกล้เคียงกับผนังทรวงอกส่วนที่เหลือ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและลดผลกระทบทางจิตใจจากการสูญเสียเนื้อเยื่อ
โครงการหมวกเย็น ได้รับการพัฒนาโดยทีมงานของเรา เพื่อช่วยลดการหลุดร่วงของเส้นผม ในผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยเคมีบำบัด หลักการทำงานของหมวกเย็นนี้อาศัยแนวคิดที่ว่า การลดอุณหภูมิของหนังศีรษะจะช่วยลดการไหลเวียนของเลือดไปยังรูขุมขน ส่งผลให้ปริมาณสารเคมีบำบัดที่เข้าสู่เซลล์รากผมลดลงอย่างมาก ซึ่งช่วยให้อัตราการหลุดร่วงของเส้นผมลดลงอย่างมีนัยสำคัญ รูขุมขนที่ยังคงอยู่รอดหลังการรักษาจะสามารถสร้างเส้นผมใหม่ที่แข็งแรง ซึ่งช่วยให้ผู้ป่วยสามารถฟื้นฟูสภาพเส้นผมได้เร็วขึ้นหลังจากสิ้นสุดกระบวนการเคมีบำบัด
การจี้ก้อนเนื้องอกด้วยความเย็น (Cryoablation) สำหรับผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่ามีเนื้อร้าย (Malignant Tumour) ขนาดเล็ก โดยกระบวนการนี้จะใช้เข็มที่ทำให้เกิดอุณหภูมิเย็นจัด เพื่อทำลายเซลล์ในก้อนเนื้องอก หรือมะเร็งโดยตรง ทำให้เซลล์แตกตัวและถูกทำลายไปในที่สุด วิธีการนี้เป็นหัตถการที่มีขั้นตอนการผ่าตัดที่น้อยที่สุด และคาดว่าจะให้ผลลัพธ์ด้านความสวยงามที่ดีที่สุดแก่ผู้ป่วย ในอดีตการจี้ทำลายก้อนเนื้องอกด้วยความเย็นเคยถูกนำมาใช้รักษาก้อนเนื้อชนิดไม่ร้ายแรง (Benign Lumps) ซึ่งมีข้อเสียคืออาจทำให้ผู้ป่วยมีก้อนเนื้อที่ขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากเนื้อเยื่อชนิดเส้นใย (Fibrous Tissue) ที่เป็นองค์ประกอบของก้อนเนื้อชนิดนี้จะบวมและตาย แต่จะไม่สลายไปในทันที ซึ่งอาจต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ไปจนถึงหลายปีกว่าที่ร่างกายจะดูดซึมก้อนเนื้อนั้นกลับไปจนหมด